วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Singapore - Part 4

มาถึง Part สุดท้ายในสิงคโปร์แล้วค่ะ ใครยังไม่ได้อ่าน Part 1-3 ตามอ่านกันได้ที่ลิ้งค์นี้ก่อนเลยนะคะ ^^

พาเที่ยว China town, Marina bay, Garden by the bay 
พาเที่ยว Universal studio, China town (night market)
พาช้อป Outlet, Orchard, Little India

วันนี้เรามาเก็บตกถ่ายรูปกันที่ ย่าน Bugis ค่ะ เป็นครั้งแรกที่เราสามารถปลีกตัวจากคุณป้ากับคุณน้าได้ ^^" ปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ที่ห้างตรง Bugis Junction วันนี้สุดท้ายแล้วก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษเองได้ เดินดูของกันเองได้ เราก็เลยขอเวลา 2 ชม. ไปเดินเที่ยวตามใจตัวเอง ตามมาดูกันว่า 2 ชม.เนี่ย เราจะพาไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง 

ไปกันที่แรกเลยค่าาา..

Sultan Mosque มัสยิดสุลต่าน 
Opening time : 9.30-12.00 , 14.00-16.00 และเฉพาะวันศุกร์ 14.30-16.00
การเดินทาง : สายสีเขียว สถานี Bugis (EW12)
เป็นมัสยิดที่ใหญ่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ อยู่ในย่าน Kampong Glam และยังเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดอันดับ 8 ของโลก ด้วยสถาปัตยกรรมผสมอาหรับ อินเดีย และมาเลย์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 190 ปีเลยนะ

นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ แต่ต้องแต่งกายสุภาพค่ะ 


ความโดดเด่นของมัสยิดคือโดมสีทองขนาดใหญ่ ที่มองเห็นได้จากไกลๆค่ะ 

ที่จริงแล้วก่อนถึงมัสยิดนี้ เราจะต้องเดินผ่าน Arab Street กันก่อนค่ะ ถนนเส้นนั้นจะขายสินค้าพวกผ้าไหม ลูกไม้ เสื้อผ้าสำเร็จรูป พรม งานหัตถกรรม สินค้าเป็นสไตล์อาหรับ (รีบเดินจนลืมถ่ายรูป - -")

มาถึง Shophouse (ย่านKampong Glam) เป็น Shophouse ช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่เก่าแก่ของชาวมลายู และเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมของชาวมุสลิม ก่อนพ่อค้าชาวอาหรับจะมายึดครอง บ้านเรือนแถบนี้จึงเป็น Shophouse สีสันคัลเลอร์ฟูลเกือบทั้งหมด เปิดเป็นร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่น่ารักๆ ค่ะ

ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่ห้ามพลาดเลยนะคะ



ร้านอาหาร Turkish เข้ากับบรรยากาศอาหรับของที่นี่เลยค่ะ 

มาช่วงเช้า มีร้านเปิดให้บริการเป็นบางร้านนะ




Shophouse ที่ย่าน Bugis เรียกว่าเป็น Late Style (1900-1940) มีการตกแต่งอย่างอลังการ หน้าต่างกว้างจนเหลือพื้นที่ที่เป็นผนังน้อย มักใช้พื้นหรือผนังสีสันสดใส สะดุดตาและสวยงาม 
Cr. หนังสือ Best of Singapore 

เดินมาเรื่อยๆ ก่อนจะถึงทางเข้า Malay Heritage Centre จะเห็นร้านอาหาร Mamanda อยู่ด้านซ้ายมือ เป็นร้านอาหารฮาลาลค่ะ


Malay Heritage Centre (ศูนย์วัฒนธรรมมลายู)
มาถึงที่หมายแล้ว ที่นี่ถูกปรับเปลี่ยนมาจากวังสุลต่านหลังเก่า เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ชุมชนดั้งเดิมของชาวมลายูในสิงคโปร์ค่ะ

เดินเข้ามาด้านหน้า มีลานน้ำพุและตัวอาคารสีเหลืองสดใสอยู่ด้านหลังค่ะ


มาซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ที่อาคารนี้กันก่อนค่ะ

ทั้งพิพิธภัณฑ์วันนี้มีเราเข้าชมคนเดียวค่ะ ถอดรองเท้าไว้ด้านหน้า แอร์เย็น พื้นไม้สะอาดมาก ตอนเข้าไปเดินอัดวีดีโอ พูดอยู่คนเดียว (นึกว่าอยู่คนเดียว) จนคนทำความสะอาด เดินออกมาชะเง้อมอง ต่างคนต่างตกใจกัน ฮ่าๆ 






ห้องนี้จัดแสดงเกี่ยวกับการฉายภาพยนต์และแผ่นเสียงค่ะ




คือเป็นพิพิธภัณฑ์แรกและเป็นที่เดียว ที่ได้เข้าชม ดีใจน้ำตาจะไหล T_T จริงๆแล้วมีพิพิธภัณฑ์ที่อยากไปเยอะมากกกก จนคิดจะซื้อ 3 Day Museum Pass ไว้เลย ตั้งใจไว้เป็น 10 ที่ๆ อยากเข้า แต่เพราะมากับคุณป้าและคุณน้าที่ไม่ได้สนใจพิพิธภัณฑ์ เราก็เลยอดไปด้วยค่ะ ><"

บริเวณด้านนอกตัวอาคาร มีส่วนที่จัดแสดงเพิ่มเติมค่ะ แต่เพราะเวลาน้อย ก็เลยได้แค่ชะโงกผ่านๆ - -"



มองจากที่ Malay Heritage Centre เราจะมองเห็นทั้ง Sultan Mosque และตึก Parkview Square ไกลๆ โน่นนน...เป้าหมายของเราต่อไปค่ะ

Bali Lane ถนนเส้นนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวช่วงกลางคืนค่ะ น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปตอนกลางคืนมาให้ดู บรรยากาศจะแตกต่างจากตอนกลางวันมาก เต็มไปด้วยร้านค้า แฟชั่นฮิปๆ เก๋ๆ แล้วยังมีร้านกาแฟอีกเพียบเลยค่ะ


Haji Lane
ถัดมาอีกถนนใกล้กัน ช่วงกลางคืนตรอกนี้จะเป็นร้านอาหาร ผับเล็กๆ เปิดอยู่เยอะแยะมากมาย มีสีสันแสงไฟฉูดฉาด บวกกับบรรยากาศของ Shophouse ที่นี่ คนที่ชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดค่ะ

บรรยากาศตอนกลางวันจะไม่มีอะไรให้เดินเล่นนะ ต้องมาตอนกลางคืนค่ะ

มาถึง Parkview Square แล้ววว ถ้ามาแถวนี้ จะต้องสะดุดตากับตึก Parkview Square ที่ได้ชื่อว่าเป็นก็อตแธมแห่งสิงคโปร์ค่ะ เพราะเหมือนกับตึกในการ์ตูนเรื่อง Batman ซึ่งการออกแบบตึกนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตึก Chanin ในมหานครนิวยอร์ค และจุดที่น่าสนใจของที่นี่คือ การแก้ฮวงจุ้ย ซึ่งการที่มีตึก Gateway หันมุมแหลมเข้ามาที่นี่ ถือเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดีเอามากๆ ค่ะ

มันใหญ่และสูงมากกกกกก


การแก้ฮวงจุ้ยของที่นี่ โดยการนำรูปปั้นบุคคลสำคัญเช่น Sun Yat-Sen, Abraham Lincoln, Rembrandt, Isaac Newton, Shekespeare, และ Albert Einsteinมาวางไว้ค่ะ

มีรูปปั้นนกสีทองด้านหน้าค่ะ

ทางเดินตรงทางเท้า บริเวณหน้าตึก Parkview Square ค่ะ

Bugis Junction & Tower
Openning time : 10.00-22.00 
แหล่งช้อปปิ้งใจกลางย่านนี้ เป็นจุดรถไฟฟ้า MRT สถานี Bugis ตรงข้ามอีกฝั่งเป็น Bugis Street แหล่งช้อปปิ้งทั้งของกิน เสื้อผ้า ที่มีร้านค้าเกือบ 800 ร้าน อารมณ์คล้ายๆจตุจักรบ้านเราเลยค่ะ

สำหรับคนที่มาสิงคโปร์ แล้วช้อปปิ้ง สามารถขอคืนภาษีได้ที่สนามบินนะคะ ง่ายมากๆ ดูตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ http://www.singaporefanclub.com/index.php?topic=697.0

จบรีวิวสิงคโปร์ทั้ง 4 Part แล้ว หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังเดินทางไปกันนะคะ ฝากเพจท่องเที่ยว https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary ไว้ด้วยค่ะ ^^

Singapore - Part 3

ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน Singapore Part 1 กับ 2 แนะนำให้อ่านก่อนนะคะ เพื่อความต่อเนื่อง เพราะมีบางจุดที่รีวิวไปก่อนหน้านี้แล้วอย่าง China Town ใน Part นี้ก็จะแค่ผ่านๆ มีเพิ่มนิดหน่อยค่ะ ^^

ต้องออกตัวก่อนว่า เนื่องจากไปกับผู้สูงวัยสายช้อปปิ้ง 2 คน คุณป้ากับคุณน้า...Plan การเที่ยวก็เลยหลวมๆ เก็บไม่หมดทุกซอกมุม เน้นช้อปปิ้งเป็นหลัก - -"

ตื่นมาวันที่ 3 ในสิงคโปร์ ทุกคนอยากจะช้อปกันเต็มที่แล้ว บวกกับนึกขึ้นได้เรื่อง Outlet ที่ไม่ได้อยู่ใน Plan ก่อนมา เช้านี้เราก็เลยจะลองไปดูกันค่า

Anchor Point (Outlet) 
จากที่เมื่อวานเราได้เจอกับพนักงานขายคนไทยของ Charles & Keith สาขาแถวๆ Marina Bay แนะนำให้ลองมาดูสินค้าที่ Outlet สาขานี้กัน เมื่อคืนก็เลยลองศึกษาเส้นทางมา โดยนั่ง MRT สายสีม่วงมาลงสถานี Queenstown แล้วนั่งรถเมล์ฝั่งตรงข้ามสาย 195 ย้อนกลับไปอีก 2 ป้าย ลงตรงป้ายหน้า IKEA จะเห็น Anchor Point อยู่ฝั่งตรงข้าม ให้ขึ้นสะพานลอยข้ามมาได้เลยค่ะ 

Outlet ที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตมีสินค้าหลายแบนด์เหมือนที่อื่น แต่ถ้าเฉพาะเจาะจงแบรนด์ที่เราอยากได้ เช่น Giodano, Fox, Timberland และเป้าหมายของเราวันนี้ Charles & Keith (อีกแล้วจ้าาาา) ^^" ก็ให้มาตรงนี้ได้เลยค่ะ 

มาถึงตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดค่ะ แค่เห็นป้าย Up to 70% เราก็ตาลุกวาวเป็นประกาย ปิ้งๆ สายตาสอดส่องเข้าไปในร้าน สแกนรองเท้า กระเป๋าที่วางอยู่ ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าที่นี่ถูกกว่าสาขาอื่น (เพราะตกรุ่น) แน่นอน แฮ่ๆๆ

แค่ร้านเปิดตั้งแต่วินาทีแรก คนก็เริ่มเข้าไปจนเต็มร้าน พนักงาน 3 คนต้องทำงานอย่างหนัก วิ่งหาไซส์รองเท้า สีกระเป๋าตามที่ลูกค้าต้องการ แล้วก็เชื่อล่ะว่าคนไทยชอบซื้อ Charles & Keith กันจริงๆ เพราะลูกค้าคนไทยเยอะมากกกก แต่ล่ะคนห็หิ้วกลับกันคนล่ะหลายถุงเลย ^^"

ของที่เราได้จาก Outlet ค่ะ คอนเฟิมว่าถูกจริง ของดี ตกรุ่นเราไม่แคร์ ขอแค่สบายกระเป๋า ฮ่าๆ ;)

เนื่องจากวันนี้ตกลงกันว่าเป็นวัน Shopping Day ของเรา หลังจากออกจาก Outlet ถือของพะรุงพะรัง ยังไม่สาแก่ใจ (คุณป้า) เราไปช้อปกันต่อที่ ถนน Orchard ค่ะ

Orchard Road
เดินทางมาโดย MRT สายสีแดง ลงสถานี Orchard (NS22) หรือ Somerset (NS23) ที่นี่เต็มไปด้วยห้างใหญ่หรูหรามากมาย เฉพาะห้างหลักๆ ก็เกือบ 30 ห้างแล้วววว!!! เดินสัก 3 วันจะครบไหม??? ซึ่งแต่ล่ะห้างจะมีสินค้าเฉพาะแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะเน้นแบรนด์เนมชั้นนำค่ะ 

ต้องขออภัยเรื่องรูปในส่วนของถนน Orchard ด้วยค่ะ....เราไม่ได้ถ่ายไว้เลย มัวแต่หิ้วของพะรุงพะรัง - -" แต่จะแนะนำคร่าวๆ เฉพาะห้างที่เราเข้าไปกันนะคะ

ห้าง Ion Orchard
Opening Time : 10.00-22.00 น. ทุกวัน
ห้างนี้ใหญ่โตโอ่อ่าสวยงาม เป็นห้างหลักเด่นๆของถนน Orchard เลยก็ว่าได้ เต็มไปด้วยร้านค้าแบนด์เนมที่มีชื่อ และร้านอาหารหลากหลายประเภท และที่สำคัญด้านล่างของห้างติดกับ MRT สถานี Orchard เดินออกมาจากสถานีก็เป็นห้างเลยค่ะ

ห้างนี้  Charles & Keith อยู่ชั้นใต้ดินค่ะ ^^

ห้าง Takashimaya/Ngee Ann City
Opening Time : 10.00-21.30 น. (ร้านอาหารภายในห้างเปิดถึง 23.00 น.) ทุกวัน
เป็นห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นค่ะ ตึกสีน้ำตาลโดดเด่นอยู่บนถนน Orchard มีน้ำพุอยู่ด้านในห้าง มีที่นั่งพักผ่อน มีสินค้าแบนด์เนมเป็นส่วนใหญ่ ด้านล่างของตึกเป็น Food Center มีร้านอร่อยๆ มากมายเลยค่ะ

ห้าง Paragon
Opening Time : 10.00-21.30 น. ทุกวัน
ถ้าอยากรู้ว่า Paragon ที่สิงคโปร์ต่างจากที่ไทยยังไง ต้องลองมาเดินดูนะ ที่นี่ก็มีสินค้าแฟชั่นมากมายกว่า 200 ร้าน และมีร้านอาหารบรรยากาศดีๆ อีกด้วยค่ะ

เดินๆกันจนเพลีย หิวกันแล้ว เราก็ตามหาของกินกันต่อ ดูพิกัดแถวนั้นแล้วรู้มาว่า ห้าง Wisma Atria มีสาขาของ Foodrepublic ที่เรามั่นใจว่าคัดสรรแต่ของอร่อยๆ ไปฝากท้องที่นี่กันค่ะ

Foodrepublic
ห้าง Wisma Atria
ผัดหมี่ฮกเกี้ยนกุ้ง (Hokkien Prawn Mee) จากนี้ขอแนะนำเลยนะ ดูหน้าตาอาจจะไม่ค่อยเท่าไร ผัดเส้นอะไรแฉะๆ แต่รสชาติดีมาก เพราะซอสที่นำมาผัดทำจากหัวกุ้ง หอยและปลาแห้ง ทานกับน้ำพริกเผา บีบมะนาวลงไปอีกนิด...เด็ดดวงเลยค่ะ ^^

จานนี้ไม่รู้จักชื่อ คือเราจะเลือกวัตถุดิบเอง พวกเนื้อสัตว์กับผักต่างๆ คีบมาใส่ชามไว้ แล้วเค้าจะเอาไปผัดใส่ซอสเข้มข้นๆ ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ฟินมากกกก ^^

หลังจากช้อปปิ้งกันมาครึ่งค่อนวันแล้ว ก็ต้องแบกของไปเก็บที่โรงแรมก่อน (รีวิวโรงแรมไว้ที่ Singapore Part 1 ) เสร็จแล้วก็ออกไปเที่ยวกันต่อค่าาา ^^

Little India
การเดินทางมาที่นี่โดย MRT สายสีม่วง (NE7) หรือสายสีน้ำตาล (DT12) ลงสถานี Little India ค่ะ

เล่าประวัติย่านนี้สักนิดนึงก่อน เริ่มตั้งแต่สมัย Sir Stamford Raffles เดินทางมาที่สิงคโปร์ บรรดาลูกเรือก็มาตั้งหลักปักฐาน และแบ่งพื้นที่กันอยู่ชัดเจน ซึ่งในสมัยนั้น บริเวณ Little India เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงวัว ส่วนใหญ่เจ้าของเป็นชาวอินเดีย และมีการจ้างงานชาวอินเดียเข้ามามาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนอินเดียในสิงคโปร์ค่ะ

ย่านนี้เหมือนกับยกอินเดียมาไว้ที่นี่เลย ทั้งผู้คน สินค้า อาหาร วัฒนธรรม และกลิ่นแรงๆของเครื่องเทศ อบอวลเลยทีเดียว ^^"

ผัก ผลไม้ ที่ขายในย่านนี้ค่ะ


พวงมาลัย พวงใหญ่ๆ สีสดมาก

ผ้าไหม ส่าหรี สีสันสดใส ละลานตาในร้านค่ะ ราคาไม่แพงด้วยนะ ซื้อกลับมาได้หลายชิ้นเลย ^^


มาพูดถึง Shophouse ในย่าน Little India กันบ้าง ในย่านนี้จะเต็มไปด้วย shophouse สีสันสดใสยาวไปกับถนน และเกือบทุกซอกซอยของบริเวณนี้ บวกกับสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตของคนอินเดียที่นี่ ทำให้มีเสน่ห์มากขึ้น จนลืมคิดไปว่าที่นี่คือสิงคโปร์ ประเทศที่เจริญและทันสมัยที่สุดประเทศหนึ่งของโลก แต่ก็ยังมีชุมชนเล็กๆที่มีเอกลักษณ์วัฒนธรรมที่แตกต่างจากเพื่อนร่วมชาติ แทรกตัวอยู่อย่างเรียบง่ายค่ะ ^^

มีร้านขายเครื่องประดับสวยๆ ด้วยนะ


วัดฮินดู Sri Veeramakaliamman 
เป็นวัดฮินดูเก่าแก่อีกหนึ่งวัดในย่าน Little India สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1855 เพื่ออุทิศถวายเจ้าแม่กาลี พระมเหสีของพระศิวะ จุดเด่นของวัดฮินดูจะอยู่ที่ซุ้มประตูสวยงามที่มีรูปปั้นขององค์เทพเจ้าต่างๆ ค่ะ



Art Belt 
ถนน Kerbau ในย่าน Little India ทางสภาศิลปะแห่งชาติสิงคโปร์ได้บูรณะให้กลายเป็นย่านศิลปะ ซึ่ง Shophouse ที่ถนนนี้จะจัดแสดงผลงาน และจำหน่ายงานศิลปะค่ะ

และในรูปคือ House of Tan Teng Niah (บ้านเลขที่ 37) บ้านสไตล์จีนหลังเดียวที่หลงเหลืออยู่ในย่านนี้ สีสดดีจริงๆ :D

Masjid Angullia หนึ่งในมัสยิดในย่าน Little India ตั้งชื่อตาม Mohammed Salleh Eussoof Angullia เป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 1890 ที่เดินทางมาจากเมือง Mumbai ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนที่มัสยิดตั้งอยู่

จบย่าน Little India แบบผ่านๆ เพราะเราเริ่มหิวกันแล้ว ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันว่า จะกลับไปหาของกินที่ China town ค่ะ

Night Market China town เรามาฝากท้องกันที่เดิมค่ะ มาทุกวันยังได้เลยนะ เพราะของกินเยอะมากกกก บรรยากาศก็คลาสสิค เดินทางง่าย ขึ้นสายสีม่วงมาลงสถานี Chinatown ออกมาก็เจอเลยค่า

หน้าตาอาหารมื้อเย็นของเราวันนี้ อร่อยเหมือนเดิมค่ะ ^^



กลับมาโรงแรมคืนนี้ เราก็ชื่นชมผลงานการช้อปปิ้งสักเล็กน้อย ยกตัวอย่างรองเท้ามาให้ดูกัน คู่นี้จากราคา 56.90 เหลือ 12.90 ดอลลาร์สิงคโปร์ ตีเป็นเงินไทยก็แค่ 300 กว่าบาทเองค่ะ กับคุณภาพ Charles & Keith ที่ถูกกว่าไทย ครึ่งต่อครึ่ง แล้วยังขอคืนภาษีที่สนามบินได้อีกด้วยนะ (จะรีวิวการขอคืนภาษีที่สนามบินใน Part 4)

กวาดมา 3 คู่ 3 สีเลยจ้า ฮ่าๆ

รูปสุดท้ายวันนี้ของค่ำคืนสุดท้ายจากห้องพักค่ะ ดูมืดๆและเหงาๆไปหน่อยนะ ^^" พรุ่งนี้วันสุดท้ายที่สิงคโปร์แล้ว ติดตามรีวิว Singapore Part 4 ตอนจบ เร็วๆนี้ค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ ฝากเพจท่องเที่ยวของคนเขียน Blog นี้ด้วยค่ะ ^^ https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary