วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Phnom Penh - Cambodia

บอกตรงๆเลยว่า การซื้อตั๋วเครื่องบินมาพนมเปญคราวนี้ เป็นการจองผิด!!! ผิดตรงที่ตอนนั้นไม่รู้ว่ากรุงพนมเปญเนี่ย มีอะไรให้เที่ยวบ้าง เจอตั๋วโปรถูกขาล่ะ 900 นิดๆ ไม่คิดอะไรมาก ซื้อทันที ตอนนั้นรู้แค่ว่ามาเที่ยวกัมพูชาก็ต้องไปนครวัด นครธม 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซื้อตั๋วแล้ว มาศึกษาทีหลังก็เพิ่งจะรู้ว่า ที่ๆเราอยากไป มันอยู่เมืองเสียมเรียบ!!! ซึ่งต้องนั่งรถจากพนมเปญไปอีกถึง 7 ชม. ด้วยสภาพถนนที่ยังกับผิวดวงจันทร์ T_T 

ทำไงหล่ะทีนี้ ก็ต้องมาวางแผนใหม่และศึกษาที่เที่ยวในเมืองพนมเปญ เพราะเราจะมีเวลาอยู่ที่นี่ในวันแรกและวันสุดท้ายของทริป ส่วน 2 วันระหว่างทริป เราจะไปที่เมืองเสียมเรียบกัน

หลังจากที่ซื้อหนังสือมาอ่าน ดูจากอินเตอร์เนต เราก็เริ่มซึมซับความน่าสนใจของเมืองนี้ แล้วก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่าพนมเปญนี่แหละ เป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยทีเดียว แทบไม่ได้สนใจเมืองเสียมเรียบมากนัก (ของตายก็งี้) 555 แน่นอนหล่ะเมืองนั้นเค้าอันดับ 1 อยู่แล้วนี่นา 

และเพราะด้วยส่วนตัวสนใจเรื่องสงคราม ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์ ศึกษาประวัติศาสตร์ต่างๆของเมืองที่ไป พนมเปญจึงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เราชอบทั้งนั้น

อยากให้ลองอ่านรีวิว และดูรูปที่ตั้งใจถ่ายมา(เยอะมากกกกก) แล้วอาจจะรู้จักและสนใจเมืองนี้มากขึ้นค่ะ ^^ 

สำนวนในการรีวิวของเรา จะเป็นแนวบันทึกประสบการณ์ส่วนตัว แต่จะแทรกเนื้อหาสาระความรู้ การเดินทาง ค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับใครที่จะตามรอยได้ค่ะ 

ตามมาเที่ยวกรุงพนมเปญกันเลยค่าาา ^^

หลังจากขึ้นเครื่องจากดอนเมืองสักพัก แอร์โฮสเตทก็เดินแจกเอกสารตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชาให้กรอกกัน มีหลายใบจนงงๆเล็กน้อย สรุปว่ากรอกแค่ใบ Arrival/Departure Card กับใบ Customs ก็พอค่ะ ส่วนใบ Application Form สำหรับ Visa ไม่ต้องกรอกเพราะเราถือพาสปอร์ตไทย สามารถเข้าประเทศกัมพูชาได้ 14 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่านะ

นั่งเขียนๆ กันไป ก็ไม่ได้อ่านว่าต้องกรอกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด!!  ก็เลยต้องขอใหม่อีกชุด กำลังเขียนๆอยู่ กัปตันประกาศ เครื่องจะแลนดิ้งแล้ว ห๊า!!! คือใช้เวลาบินแค่ชั่วโมงเดียว @_@

ลงเครื่องออกจากตัวอาคารสนามบิน มองด้านซ้ายไว้จะมีเค้าเตอร์ซื้อตั๋วรถเข้าเมือง 2 แบบค่ะ เป็นรถยนต์กับตุ๊กๆ ราคามาตรฐาน เขาก็จะเขียนบิลมาให้เราถือไว้ จ่ายกับคนขับค่ะ 

เพื่อจะชมบรรยากาศของเมืองแบบกินลมชมวิว เราเลือกรถตุ๊กๆกันค่ะ หน้าตารถตุ๊กๆบ้านเขาจะเป็นแบบหันหน้าเข้าหากัน นั่งได้ประมาณ 4 คน

ด้านหน้าสนามบินพนมเปญค่ะ

อาคารสวยๆระหว่างทางเข้าเมือง

ระหว่างทางไปโรงแรม คุณลุงคนขับก็ถามๆพวกเราว่า จะไปเที่ยวที่ไหน พอบอกว่าจะไปเสียมเรียบวันพรุ่งนี้ แกเลยเสนอพามาบริษัทเอเจนซี่ เป็นทางผ่านพอดี เราก็โอเคเลย จะได้ไม่ต้องไปเดินหาเอง

ที่นี่เราซื้อตั๋วไป-กลับ รถนอนเพื่อใช้เดินทางไปเสียมเรียบในคืนวันถัดไป กับเหมาตุ๊กๆเที่ยวพนมเปญในวันพรุ่งนี้แบบเต็มวัน 
ตั๋วไป-กลับรถนอน คนล่ะ 31 usd
เหมาตุ๊กๆ เที่ยวพนมเปญ คนล่ะ 10 usd 

คนขับตุ๊กๆที่นี่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก สุภาพ ใจดี นี่คุณลุงก็ต้องรอเราคุยกับบริษัทเอเจนซี่นานเกือบชั่วโมง 

เราพักกันที่โรงแรม Khmeroyal Hotel เป็นห้อง Triple room ราคาประมาณ 1,400 บาทโรงแรมเก่าหน่อย แต่โลเคชั่นดี วิวสวย อยู่ตรงข้ามกับโตนเลสาปเลยยย ^^ 

คุณลุงมาส่งถึงโรงแรม และตามที่เขียนบิลมา ค่าตุ๊กๆคือ 9 usd แต่เราให้เพิ่มเป็น 12 usd เพราะคุณลุงรอพวกเราที่บริษัทเอเจนซี่นานมาก แต่ลุงแกไม่บ่นซักคำ ^^"

เอาของขึ้นมาเก็บสักพัก ต่อ wifi คุยกับเพื่อนชาวกัมพูชา ปรากฎว่าเขามารอรับพวกเราหน้าโรงแรมแล้ว รีบดีดตัวออกไปกันต่อเลย เจ้าถิ่นพามาทานมื้อเย็นที่ร้าน Sleuk Chark Restaurant อาหารท้องถิ่นกัมพูชาแท้ๆ เลยค่ะ (ดูหน้าตาแยกกันไม่ออกว่าใครชาติไหน ฮ่าๆ)


จากหน้าตาคุ้นๆ แบบนี้ ผัดคะน้าน้ำมันหอยชัวร์ค่ะ

ไข่เจียวใส่หมูสับแล้วก็มีเนื้อปลาเค็มๆด้วย

แกงนี้เจ้าบ้านนำเสนอมาก เป็นแกงมะละกอใส่ใบอะไรไม่รู้ที่มีกลิ่นหอมแรงๆหน่อย จำได้ว่าเคยชิมใบแบบนี้ตอนอยู่บนดอยที่ อ.อมก๋อย ด้วยแหละ

อาม็อก รสชาติเหมือนห่อหมกบ้านเราค่ะ ร้านนี้เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าว เป็นอาหารคาวยอดนิยมของชาวกัมพูชาค่ะ

ตบท้ายด้วยของหวานที่บริการฟรีหลังมื้ออาหาร เป็นสาคูกับฟักทองต้มกับกะทิ รสชาติคล้ายๆของหวานบ้านเรา

อิ่มกันแล้ว ในโอกาสที่มีเจ้าถิ่นพาเที่ยว พวกเราก็อยากจะลองเที่ยวผับ บาร์ของที่นี่ดูบ้าง เพื่อนชาวกัมพูชาก็เลยพามาที่ Riverhouse Lounge Night Club  ผับชื่อดังที่สุดของกรุงพนมเปญ ขนาดที่ว่า 50cent อเมริกัน rapper คนดังก็เคยมาเที่ยวที่นี่แล้วด้วย

วันรุ่นกัมพูชา ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ!! เขาจะเต้นกันเป็นกลุ่ม ท่าเดียวกัน ทั้งฟลอร์เลย สนุกกันมาก แต่งตัวง่ายๆ สบายๆ กางเกงยีนส์ขาสั้น เสื้อยืดแค่นั้น แต่อารมณ์ล้วนๆ มันสนุกตรงนี้หล่ะ ถ้าจะให้เปรียบเทียบกับผับไทยที่ต้องแต่งตัวสวยเซ็กซี่ ยืนดริ้ง ยืนเต้น เก็กๆสวยๆ ก็คงจะแตกต่างกันมากนั่นแหละนะ ^^"

เครื่องดื่มเบาๆ สำหรับคืนนี้ และที่ไม่พลาดไม่ว่าจะไปประเทศไหน เราต้องลองเบียร์ประจำชาติค่ะ ที่นี่ต้องนี่เลย  "อังกอร์เบียร์" ฮ่าๆ


เพราะวันแรกเรามาไฟล์ทเย็น เวลาก็หมดไปกับบริษัทเอเจนซี่เพื่อคุยข้อมูลจองรถ ทานมื้อค่ำ เที่ยวผับ ตื่นเช้ามาวันที่ 2 พวกเราก็พร้อมลุยเที่ยวกรุงพนมเปญกันแล้วค่าาา

บรรยากาศหน้าโรงแรม ข้ามถนนไปก็เป็นโตนเลสาป บรรยากาศดีมากกกก

ฟุตบาทเลียบโตนเลสาป เป็นสวนหย่อมเล็กๆกับม้านั่งยาวววว ไปตลอดทางค่ะ เหมาะกับการวิ่งจ้อกกิ้งมากๆ พวกเราก็มานั่งรอคนขับตุ๊กๆ มารับไปทัวร์กรุงพนมเปญกันค่ะ

ก่อนเริ่มทัวร์ มื้อเช้า...เพื่อนชาวกัมพูชาแวะมาหาที่โรงแรม แล้วพาเรามากันที่นี่ค่ะ ไม่มีชื่อร้าน คนเยอะมากกก เต็มทุกโต๊ะเลย

บายซ็องจรุก ข้าวหน้าหมูปิ้ง อีกหนึ่งอาหารเช้ายอดนิยมของชาวกัมพูชาค่ะ

จานนี้จะเป็นหน้าไก่ 

ทานกับเครื่องเคียง ผักดองกับน้ำจิ้มไก่ค่ะ มีน้ำซุปให้ด้วยนะ

แต่จริงๆ แล้วอาหารแนะนำของร้านนี้คือ ก๋วยเตี๋ยวค่ะ น้ำซุปหวานอร่อยตามท้องเรื่อง ^^

เพื่อนอีกคนสั่งเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาค่ะ 

หลังจากอิ่มท้อง และแยกย้ายกับเพื่อนกัมพูชาแล้ว เราก็เริ่มทัวร์กรุงพนมเปญกันค่ะ 

ก่อนเริ่มเที่ยว อยากให้อ่านประวัติของเขมรแดงอีกสักนิดนะคะ ซึ่งที่เที่ยวหลักๆในกรุงพนมเปญ จะเกี่ยวกับเขมรแดง จะได้ทราบความเป็นมาก่อน...เขมรแดง (Khmer Rouge) หรือ "กองทัพแห่งชาติกัมพูชาธิปไตย" ภายใต้การนำของ พล พต ซึ่งสิ่งแรกที่เขมรแดงทำหลังจากได้อำนาจคือ กวาดต้อนประชาชนกัมพูชาทั้งหมดจากกรุงพนมเปญและเมืองสำคัญอื่นๆ มาบังคับให้ทำการเกษตรและใช้แรงงาน และจำแนกศัตรูทางชนชั้น ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ ผู้มีการศึกษา ออกมาขจัดทิ้งก่อน ซึ่งทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้องเสียชีวิตจากการถูกสังหาร ถูกบังคับใช้แรงงาน และความอดอยาก เป็นจำนวน 850,000- 3 ล้านคน ถือได้ว่าระบอบการปกครองของเขมรแดงเป็นหนึ่งในระบอบที่มีความรุนแรงที่สุดในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 20

Tuol Sleng Genocide Museum (พิพิธภัณฑ์ตวลสเลง)
Opening Times : 08.00-17.30 ทุกวัน
Ticket : 3 usd
ที่แรกไฮไลท์ของเราเลยทีเดียว ควรจะมาที่นี่ก่อนจะไปที่ทุ่งสังหารนะคะ เพราะเราจะได้ศึกษาความเป็นมาของเขมรแดงให้ละเอียดขึ้นอีกสักนิดก่อน 

พิพิธภัณฑ์ตวลสเลงแห่งนี้แต่เดิมเป็นเพียงโรงเรียนมัธยมธรรมดา ก่อนกลายมาเป็นสถานที่คุมขังนักโทษเพื่อรีดคำสารภาพของเขมรแดง (จะโดยวิธีใดก็แล้วแต่) จากนั้นพอได้สิ่งที่ต้องการ นักโทษก็ถูกนำไปฆ่าอย่างทรมาน โดยเหยื่อที่ถูกเรียกมาในช่วงแรกมักเป็นกลุ่มปัญญาชนที่เขมรแดงมองว่าเป็นศตรู รวมถึงกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลชุดก่อนทั้งเชื้อพระวงศ์และทหาร ต่อมาจึงเริ่มหวาดระแวงทุกกลุ่ม และทำการสังหารโดยไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก (รวมผู้เสียชีวิตที่นี่มีทั้งหมดกว่า 20,000 คน)
ที่มาบทความ : หนังสือเที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยกัมพูชา


อาคารถูกดัดแปลงให้เป็นที่ขังเดี่ยว ที่ขังนักโทษหญิง และแบ่งเป็นสำหรับนักโทษ 4 คน และ 20-30 คนตามขนาดห้อง

เป็นภาพของเด็ก 7 คนที่รอดจากการฆ่าของเขมรแดง

อาคารทั้งหมดมี 4 อาคารๆล่ะ 3 ชั้น ปัจจุบันภายในจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดค่ะ

อุปกรณ์เครื่องมือทรมาน ที่เขมรแดงใช้ทารุณเหยื่อ

ห้องขังเดี่ยว

ที่แขวนกุญแจของห้องขัง โดยเขียนหมายเลขกำกับไว้



อุปกรณ์ที่ใช้จริงในสมัยนั้น ซึ่งนักโทษทุกคนจะมีโซ่ตรวนที่ขา

ภาพผู้เสียชีวิต

ที่นี่ห้ามถ่ายรูปค่ะ ก็เลยไม่มีรูปมาให้ดูกันมากนัก แต่ล่ะห้องที่เข้าไป จะจัดแสดงอุปกรณ์ของจริงที่ใช้สังหารเหยื่อ และรูปภาพของเชลยมากมาย เราเดินดูกันทุกชั้น ทุกห้องจนครบทั้ง 4 อาคาร คิดว่าที่นี่สลดหดหู่ที่สุดในบรรดาพิพิธภัณฑ์ที่เราเคยเข้าไปดูล่ะ แต่ยังมีอีกสถานที่นึง สุดยอดของความโหดร้ายกว่าคุกตวลสเลงนี้อีก...ไปต่อกันที่ ทุ่งสังหารเจืองเอ็กค่ะ

The Killing Field of Choeung Ek (ทุ่งสังหารเจืองเอ็ก)
Opening Times : 08.00-17.30 น. ทุกวัน
Ticket : 3usd

ในอดีตกลุ่มกองกำลังเขมรแดงได้ใช้สถานที่แห่งนี้ เพื่อสังหารเหยื่อให้ตายอย่างทรมาน ด้วยวิธีการต่างๆนานา เช่น จับตัวฟาดกับต้นไม้ ใช้ของแข็งทุบ หรือใช้ใบตาลปาดคอจนตาย ฯลฯ (เหตุผลที่ไม่ใช้กระสุนปืนสังหารเนื่องจากมีราคาแพง และยังเพื่อให้เหยื่อตายอย่างทรมานช้าๆ) โดยหลังจากสังหารเสร็จ ก็จะนำศพไปทิ้งในหลุมขนาดใหญ่ที่ใช้ให้เหยื่อขุดขึ้นเอง

ที่นี่มีการค้นพบซากโครงกระดูกมากกว่า 8,895 โครง จนทางการกัมพูชาได้สร้างอนุสรณ์รูปทรงเจดีย์ เพื่ออุทิศให้กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในสมัยนั้น...
ที่มาบทความ : หนังสือเที่ยวไม่ง้อทัวร์ ตีตั๋วตะลุยกัมพูชา

หลังจากซื้อตั๋วเข้าชมกันแล้ว เราจะได้รับเครื่องบันทึกเสียงและแผนที่ทางเดินชมทุ่งสังหาร มีเป็นภาษาไทยด้วยค่ะ

แค่อ่านหัวข้อของแต่ล่ะจุดเยี่ยมชม เราก็เริ่มรู้สึกถึงความสลดหดหู่แล้วค่ะ T_T

 แต่ล่ะจุดจะมีเก้าอี้ไว้ให้เรานั่งฟังเครื่องบันทึกเสียงค่ะ ทุกคนจะนั่งฟังอย่างสงบ 

ตรงนี้เป็นบริเวณป้ายสัญลักษณ์จุดที่ 3 ซึ่งเป็นสถานที่กักกัน จะมีรูปวาดและคำบรรยายเป็นภาษาอังกฤษถึงสถานที่ตรงนั้นในอดีต

ตอนที่เดินมาถึงต้นตาลและฟังเครื่องบันทึกเสียงไปด้วย ที่บอกให้เราลองแหงนหน้าขึ้นไปมองก้านของต้นตาลที่มีรอยหยักแข็งๆ ที่ใช้ในการปาดคอเหยื่อ...นึกภาพตามเสียงบรรยาย บวกกับน้ำเสียงของผู้พูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ทำให้ได้อรรถรสในความสลดเข้าไปอีกค่ะ T_T

บริเวณหลุมที่ขุดโครงกระดูกขึ้นมา โดยเฉพาะหลุมใหญ่ๆจะถูกล้อมไว้ ด้วยระแนงไม้ไผ่ เช่นหลุมนี้มีป้ายบอกไว้ว่าขุดพบโครงกระดูกเหยื่อจำนวน 450 โครง

ไม่แน่ใจว่าการที่นักท่องเที่ยวเอาสายถักข้อมือมาแขวนไว้เพื่ออะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นการไว้อาลัยแด่ผู้ที่เสียชีวิตค่ะ

ป้ายสัญลักษณ์บางจุด จะเป็นรูปจริงของบริเวณนั้นจริงๆค่ะ

บริเวณทุ่งสังหารจะยังพบเศษซากกระดูก ฟัน และเสื้อผ้าอยู่ทั่วไป บางจุดก็จะล้อมบริเวณไว้ค่ะ

บริเวณหลุมใหญ่ที่ขุดพบซากกระดูกจำนวนมาก

ขณะเดินดูควรอยู่ในกิริยาสำรวมและไม่ส่งเสียงดัง เพื่อแสดงความเคารพให้กับคนที่ตายไปแล้วด้วยค่ะ

ซากกระดูก ฟัน และเศษเสื้อผ้า ที่นักท่องเที่ยวเก็บมาวางไว้ค่ะ 

บางจุดจะมีป้ายบอกไว้ให้ระวังเหยียบโครงกระดูก 


และต้นไม้ต้นนี้เป็นจุดที่กองกำลังเขมรแดง จับเด็กทารกฟาดจนสมองกระจัดกระจายไปทั่ว T_T

หลังจากนั้น ก็จะโยนศพเด็กลงไปในหลุมใกล้ๆกับต้นไม้ ซึ่งหลุมนี้เป็นหลุมที่พบโครงกระดูกเด็กทารกและผู้หญิง จากการฟังบรรยายก็คือผู้หญิงสาวที่ถูกสั่งให้ถอดเสื้อผ้าให้หมดและลงไปในหลุมและถูกสังหารที่นี่ 

บริเวณยุบตัวของหลุมที่ถูกขุดโครงกระดูกขึ้นมาแล้ว 

เศษซากของเสื้อผ้าบริเวณต้นไม้ที่สังหารเหยื่อ

ตามความเชื่อของคนกัมพูชา มีการสร้างคล้ายกับศาลไว้ในบริเวณทุ่งสังหารด้วย

ซากกระดูก ฟัน และเศษผ้าที่อยู่ตามทางเดิน โผล่ขึ้นมาหลังจากพื้นดินที่ถูกชะล้างจากฝน คือเราต้องเดินระวังไม่ให้เหยียบ แต่บางทีก็มองไม่เห็น เหยียบไปบ้างเหมือนกัน ทั้งกระดูกคน ทั้งเสื้อผ้า....ไม่ได้ตั้งใจ T_T
 
จุดสุดท้ายที่เดินมาถึง จะเป็นบริเวณอนุสรณ์สถานค่ะ

ภายในอนุสรณ์เต็มไปด้วยกระโหลกศรีษะมนุษย์ ที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่ในตู้กระจกใส

โครงกระดูกบริเวณศรีษะ ทำสัญลักษณ์จุดแยกเป็นสีแดงคือผู้หญิงและสีน้ำเงินคือผู้ชาย อายุระหว่าง 20-40 ปี

ด้านล่างสุดของตู้กระจก จะจัดแสดงเสื้อผ้า และอาวุธที่ใช้สังหารเหยื่อ 


บางส่วนของอาวุธที่ใช้สังหาร 


ทางเดินกลับ จะมีพิพิธภัณฑ์อยู่ด้านซ้ายมือค่ะ

พวกเราเดินกลับออกมากันด้วยความรู้สึกหดหู่อย่างที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าคนชาติเดียวจะทำกันได้ขนาดนี้ แต่เราก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่โหดร้าย ไว้เป็นบทเรียนในปัจจุบันค่ะ T_T

หลังจากทานมื้อเที่ยงที่ร้าน หน้าทางเข้าทุ่งสังหารเสร็จแล้ว เราก็นั่งรถตุ๊กๆสูดฝุ่นกันฉ่ำปอดกลับเข้าเมือง (แนะนำให้ติดหน้ากากปิดจมูกไปด้วยนะ) มาเที่ยววัดกันต่อค่ะ....จุดมุ่งหมายที่มาวัดนี้คือ มาตามหา "ยายเพ็ญ" จ้าาาา

ยายเพ็ญเป็นใคร ตามมาดูกันเลยยยย ^^

Wat Phnom (วัดพนม)
Opening Times : 07.00-18.30 ทุกวัน
Ticket : 1 usd
วัดพนมตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ บนเนินเขา เป็นวัดในศาสนาพุทธที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ในอดีตค่ะ


ภายในวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปคล้ายกษัตริย์

ตามพระพุทธรูปองค์เล็กๆ มีคนนำดอกบัวและเงินมาวางไว้ด้วย 

เจอล่ะ...รูปปั้น "ยายเพ็ญ" ผู้เป็นตำนานของชื่อเมืองพนมเปญ เล่ากันว่ายายเพ็ญพบขอนไม้ลอยน้ำมาติดฝั่ง จึงได้แกะสลักเป็นพระพุทธรูป แล้วน้ำมาประดิษฐานที่วัดพนม ที่ตั้งอยู่บนเนินเขานี้ ต่อมาผู้คนจึงพากันเรียกบริเวณนั้นว่า "พนมเปญ" หรือเขายายเพ็ญ จนกลายเป็นชื่อเมืองหลวงจนถึงปัจจุบัน

 ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมเรื่องรามเกียรติ์ให้ดูด้วยค่ะ

รูปปั้นยายเพ็ญ ด้านหลังวิหาร

เจดีย์ขนาดใหญ่นี้ (ด้านหลังวิหาร) เป็นที่บรรจุพระอัฐิธาตุของกษัตริย์นโรดม สีสุวัตถิ์ (กษัตริย์องค์แรกของกัมพูชา) 



เซลฟี่กันหน่อยยยย ^^

จบจากวัดพนม เราก็ไปต่อกันที่พระราชวังค่ะ ^^

The Royal Palace (พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล)
Opening Times : 07.00-11.00 และ 14.30-17.00 น. ทุกวัน
Ticket : 3 usd
ค่าไกด์ : 10 usd (แล้วแต่เราจะจ้างไกด์หรือไม่ก็ได้ค่ะ)
พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล หรือเป็นที่คุ้นเคยของคนไทยในชื่อ "พระราชวังเขมรินทร์" สร้างขึ้นเมื่อปี 2409 หลังพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ ได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากกรุงอุดง มายังกรุงพนมเปญ

เราจ้างไกด์มาให้ความรู้เราด้วยค่ะ แต่บอกตรงๆ จำแทบไม่ได้ว่าไกด์พูดอะไรไปบ้าง แฮ่ๆ ^^" 






สีประจำวันของชาวกัมพูชาค่ะ ไม่เหมือนของไทยนะ ^^

อาคารนี้ปิดรีโนเวทอยู่ค่ะ


เดินถัดมาจะเป็นเจดีย์เงิน ซึ่งอยู่ในบริเวณของพระราชวังด้วยค่ะ 

Silver Pagoda (เจดีย์เงิน) หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม "วัดพระแก้ว" เพราะภายในบรรจุพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของกัมพูชาอยู่ 2 องค์ คือ พระแก้วมรกตและพระพุทธรูปทอง ที่หล่อด้วยทองคำ 90 กก. ประดับด้วยเพชร 9,548 เม็ด ซึ่งเม็ดที่ใหญ่ที่สุดมีน้ำหนักถึง 25 กะรัต...ว้าววววว

และที่เรียกเจดีย์เงินเพราะว่า พื้นของอาคารปูด้วยแผ่นเงินถึง 5,329 แผ่น แต่ล่ะแผ่นหนักมากกว่า 1 กก. ตอนนี้ปูพรมทับหมดแล้วค่ะ น่าจะเพื่อรักษาแผ่นเงินนั้นไว้ แต่จะมีจุดเปิดให้ชมแผ่นเงิน และมีบางจุดเล็กๆที่ไม่มีพรมบังไว้ ไกด์ก็บอกให้เราไปลองยืนตรงนั้นดู จะสัมผัสได้ถึงความเย็นของแผ่นเงินค่ะ ^^

*ห้ามถ่ายรูปด้านในอีกแล้ววววว ><"

บริเวณด้านนอก รอบๆเจดีย์เงินค่ะ



จบจากพระราชวัง เราก็มากันต่อที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกัมพูชา ใกล้ๆกันค่า

National museum of Cambodia (พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกัมพูชา)
Opening Times : 08.00-17.00 น. ทุกวัน
Ticket : 5 usd

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2461 เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชา รวมถึงเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีชั้นนำของประเทศ...ภายในจัดแสดงงานศิลปะกว่า 14,000 ชิ้น ตั้งแต่ยุคก่อนจะมาเป็นประเทศกัมพูชาจนถึงยุคกลาง ทั้งยังเป็นสถานที่รวบรวมโบราณวัตถุที่งดงามและทรงคุณค่าอีกหลายชิ้นค่ะ

ด้านในห้ามถ่ายรูปอีกเช่นเคย ^^"



The Independence Monument (อนุสาวรีย์อิสรภาพ)
ถูกสร้างขึ้นกลางวงเวียนบนถนนพระนโรดม ในปี พ.ศ.2501 เพื่อเฉลิมฉลองที่ประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชจากประเทศฝรั่งเศษ โดยโครงสร้างอนุสาวรีย์ถูกออกแบบให้เหมือนกับปราสาทอังกอร์วัดค่ะ

คุณลุงขับตุ๊กๆ พามาดูอาคารร้างสไตล์ฝรั่งเศษ ที่ถูกสร้างไว้ในสมัยที่ฝรั่งเศษยึดครองอำนาจ ถูกปล่อยร้างให้เห็นโดยทั่วไป...หลังใหญ่ๆทั้งนั้นเลยค่ะ น่าเสียดาย 

อาคารสวย ไปรษณีย์กลางพนมเปญค่ะ
 

รูปตั้งแต่นี้ไป จะเป็นในส่วนของเมืองใหม่ของพนมเปญ ซึ่งเรามีเวลาเหลือในวันสุดท้ายก่อนกลับตั้งเกือบ 1 วันเต็ม ก็เลยมาสำรวจแถวนี้ดู ซึ่งต้องข้ามสะพาน Chroy Changvar รายละเอียดข้อมูลเรื่องสถานที่ก็ยังไม่มีให้ศึกษามากนัก มีแต่คุณลุงขับรถตุ๊กๆพามา และเล่าให้ฟังบ้าง (แต่ส่วนใหญ่ลุงเล่าแต่เรื่องไสยศาสตร์ - -" ) ก็เลยขออนุญาติโชว์รูปไปก่อนน้า ถ้าเจอข้อมูลสถานที่เหล่านี้ จะนำมาอัพเดททีหลังค่า ^^"













มหาวิทยาลัยค่ะ







ถ่ายรูปแม่น้ำแม่โขง ก่อนขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยค่า

สำหรับกรุงพนมเปญเราใช้เวลาเที่ยวทั้งหมด 2 วันเต็มๆ ค่ะ ถือว่าค่อนข้างครบสำหรับสถานที่สำคัญๆ เต็มอิ่มพอสมควร หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่จะไปตามรอยนะคะ 

ยังเหลือเสียมเรียบอีกเมือง ฝากติดตามอ่านด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่า ^^

Fanpage :https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary ฝากเพจด้วยนะคะ ^^