วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Nara - Japan

นาราเป็นเมืองเก่าที่สำคัญเมืองหนึ่งของคันไซ เนื่องจากเมื่อ 1,300 กว่าปีก่อน นาราเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น ซึ่งในสมัยนั้นศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมาก มีการสร้างวัดขึ้นมากมาย ซึ่งยังคงเหลือร่องรอยมาจนถึงปัจจุบัน และสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวก็คือวัดวาเก่าแก่หลายแห่งที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว การตามหาของกินที่มีชื่อในเมืองนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของเราที่จะไม่พลาด ซึ่งนาราก็มีอาหาร Traditional โดดเด่นเฉพาะมากมาย เราจะมารีวิวกันเลยนะค้าาาา 😋

เริ่มจากนั่งรถไฟ Kintetsu จากโอซาก้า ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงสถานี Kintetsu Nara ซึ่งเป็นสถานีหลักของเมือง ตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว และยังเป็นจุดต่อรถเมล์ แท็กซี่ มีถนนคนเดิน ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกเพียบเลยค่ะ แต่ในวันนี้เราเลือกวิธีการเดินเที่ยว ชิวๆ ล่ะกันค่ะ เพราะขึ้นรถเมล์ไม่เป็น- -"

เดินมาที่แรกก็จะเจอพิพิธภัณฑ์แห่งชาตินารา (Nara National Museum) ตั้งอยู่ภายในสวนนารา เป็นอาคารที่ก่อด้วยอิฐตามแบบตะวันตก ที่สร้างเมื่อ 100 กว่าปีก่อน เป็นที่รวมผลงานศิลปะ ของเก่าโบราณ ค่าเข้าชม 500 เยนค่ะ


มีเรื่องเล่าของกวางในนารา...กวางถูกยกย่องให้เป็นสัตว์รับใช้ของเทพเจ้า ถือเป็นมรดกทางธรรมชาติและสัญลักษณ์ประจำนาราอีกด้วย (เล่าสั้นมากกก - -")ใครถือถุงขนมไป รับรองโดนกวางตื้อไม่เลิกจนกว่าจะได้กินค่ะ ^^"



และแล้วเราก็มาถึง Todaiji (วัดโทไดจิ) เป็นวัดที่สร้างจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 743 และยังได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วยค่ะ

ก่อนเข้าวัดจะเจอประตูไม้เก่าแก่สูง 25 เมตรชื่อนันไดมง จะมียักษ์ใหญ่ยืนคุ้มครองประตูอยู่ทั้งสองข้างเลย




ขากลับจากวัดโทไดจิ ก็มาแวะร้านขายคาคิโนะฮะซูชิ (Kakinohazushi) คือซูชิที่หาทานได้ในนาราและวาคายามาเท่านั้น เป็นก้อนรูปสี่เหลี่ยมห่อด้วยใบพลับดอง ใส่แพจเกจสวยงาม เหมาะสำหรับซื้อเป็นของฝากค่ะ 👍



เดินต่อมาจนถึงวัดโคฟุคุจิ (Kohfuku-ji Temple) วัดแห่งนี้สร้างครั้งแรกในเกียวโตเมื่อปี ค.ศ.669 แต่ถูกย้ายมาที่นาราในปี ค.ศ. 710 ซึ่งเคยถูกเผาทำลายหลายๆครั้ง และถูกลืมเลือนในบางช่วงเวลา ปัจจุบันที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้เรียบร้อยแล้วค่ะ



ออกจากวัดโคฟุคุจิ เป้าหมายต่อไปคือย่านเมืองเก่านารามาชิ ตัดสินใจนั่งรถเมล์ เพราะดูจากแผนที่แล้วว่าเดินไปไม่ไหวแน่ๆ พอถึงป้ายคนขับก็บอกให้ลง แล้วคือยืนงงสักพัก หยิบไอแพดเปิดแอพ maps.me ที่เป็นแผนที่ offline แล้วก็เริ่มออกเดิน โดยมีวัยรุ่นคนจีน 2 คนยังยืนงงเหมือนเราอยู่ตรงป้ายรถเมล์ แต่แบบว่าจะชวนคุยก็ไม่กล้า แต่เห็นเค้ามากันสองคน น่าจะเอาตัวรอดได้นะ เราไปก่อนล่ะกัน แฮ่ๆ (ที่ไม่ชวน เพราะตัวเองยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไปถูกทางรึเปล่า - -" ) แล้วเราก็ดิ่งเข้าซอยซึ่งไม่รู้เลยว่าใช่ทางที่จะไปไหม เดินๆไป ไม่พบเจอสิ่งมีชีวิตเลย T_T เริ่มไม่แน่ใจจนมาเจอศาลเจ้า Goryo และแผนที่เมือง พอที่จะบอกทางไปต่อได้ค่ะ ^^"



หลังจากเดินหลง งงๆ ถามทางฝรั่งนักท่องเที่ยวด้วยกัน ก็มั่นใจแล้วว่ามาถูกทาง เพราะเริ่มเห็นตัวอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ มีป้ายบอกถึงว่าได้สร้างในยุคสมัยใด ซึ่งตามหนังสือบอกว่าหลายคนไม่รู้จักสถานที่นี้ เพราะชื่อนารามาชิแทบไม่มีในแผนที่ เมืองเก่าที่เงียบสงบนี้สร้างในสมัยเอะโดะและเมจิ...เห็นบอกกันมาว่า คนพื้นที่เท่านั้นถึงจะรู้จักสถานที่เหล่านี้ดี...รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ที่ตามหาเธอจนเจอ ^^"



ถัดจากเขาวงกตเมืองเก่านารามาชิ เราก็มาเจอศาลเจ้าเล็กๆ ที่หลายคนอาจจะไม่ได้สนใจ แต่เคยอ่านเจอในหนังสือ ซึ่งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่นี่ คือศาลเจ้าอุเนะเมะ (Uneme Zinya) เชื่อกันว่าในอดีตนางสนมชื่ออุเนะเมะ มากระโดดน้ำตายที่สระซะรุซะวะอิเคะ เพราะช้ำใจที่จักรพรรดิทรงหมดรักในตนเอง ต่อมาจึงสร้างศาลที่มีรั้วสีแดงอยู่ข้างสระ เพื่อผูกดวงชะตาความรักให้ดวงวิญญาณของนางไปสู่สุคติ....เศร้านะ T_T


เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอขนมโยะโมะงิที่ตามหา ที่ร้าน Nakatani Dou ซึ่งมานาราแล้วต้องไม่พลาด ทำกันสดๆใหม่ๆ ความอร่อยของโมจิร้านนี้การันตีด้วยตำแหน่งแชมป์จากรายการทีวีแชมเปี้ยนถึงสองสมัย แป้งโมจิใส่หญ้าโยะโมะงิสีเขียวกลิ่นหอมเนื้อบางที่ห่อหุ้มถั่วแดงกวน โรยด้วยคินาโกะ(ผงถั่วเหลือง) เมนูนี้ มันฟินมากกกกกก 😋



และที่ห้ามพลาดอีกอย่างนึงคือ สตรอเบอรี่ที่นาราค่ะ หอม หวาน อร่อยมากกกกก ^^


จบ Half day trip ที่นาราเพียงเท่านี้ค่ะ ยังเหลือวัด ศาลเจ้า สวนพฤกษศาสตร์ รอบๆเมืองที่น่าสนใจอีกมากมาย แต่เพราะปัญหาการเดินทาง ที่ต้องโดยสารด้วยรถเมล์ เพราะใช้บัตร Kunsai Thru Pass กับรถเมล์ที่นี่ไม่ได้ เราก็เลยเปลี่ยนใจไปเก็บตกครึ่งวันบ่ายในโอซาก้าต่อ....แล้วคอยพบกับรีวิวเมืองโอซาก้าเร็วๆนี้ค่ะ ^^










Cambridge - England

เมื่อมีวันหยุดสักวัน พวกเราก็มักจะวางแผนออกเที่ยวนอกเมืองกันเสมอ คราวนี้มีผู้ร่วมทริป 3 สาวกับอีกหนึ่งหนุ่มตากล้อง พอลองคุยกันแล้วว่ามีเมือง Cambridge นี่หล่ะ ที่เรายังไม่เคยมากัน  และแน่นอนว่าเป็นเมืองที่เราต้องมาเยือนด้วยประการทั้งปวง ห้ามพลาดเลยว่างั้น...Cambridge เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของอังกฤษ (รองจาก Oxford) และเก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของโลก อยู่ห่างจาก London ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 80 กม. มหาวิทยาลัย Cambridge ประกอบไปด้วย 31 colleges ระบบ colleges นี้มีลักษณะคล้ายบ้านของนักเรียนในเรื่อง Harry Potter นั่นแหละ

พวกเราเดินทางมาที่เมืองนี้กันด้วยรถโค้ชของ National Express จากลอนดอน และต้องแวะต่อรถกันประมาณครึ่งทางก่อนด้วย 

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.กว่าๆ จากลอนดอนรวมเวลาต่อรถ ก็ถึงล่ะ โชคดีของพวกเรา วันที่ไปอากาศดีมากกกก ลงจากรถมาเราก็เดินผ่านสนามหญ้าใหญ่ๆ นี้เข้าเมืองกัน...ลุย!!! 

ขอเล่านิดนึง....ชื่อ Cambridge นี้มาจากที่ว่า อยู่ติดกับแม่น้ำแคม (River Cam) แล้วก็เลยหมายถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคม (Cam-Bridge) ง่ายๆ ตรงไปตรงมา 😅 ซึ่งบริเวณหลักๆของมหาวิทยาลัย จะมีแม่น้ำไหลผ่าน



หลังจากเดินมาสักพัก จุดแรกที่แวะก็คือ St Bene't's Church ซึ่งเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดใน Cambridge เข้าชมฟรี ไม่มีคนเลย 😁




ตรงข้ามกับโบสถ์ St Bene't' s Church คือหนึ่งในผับใหญ่ของ Cambridge ชื่อ The Eagle เปิดมาตั้งแต่ปี 1667 ผับนี้น่าสนใจตรงที่ด้านใน บริเวณเพดานและผนังเต็มไปด้วยการเขียนชื่อของทหารอากาศ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และอีกเรื่องน่าสนใจคือที่นี่เป็นผับที่ Francis Crick ผู้ที่คิดโครงสร้าง DNA ได้ที่นี่ ผับนี้ก็เลยเป็นเหมือนต้นกำเนิด DNA ทางร้านก็เลยคิดสูตรเหล้าชื่อ Eagle's DNA ขึ้นมาด้วย

ชั้นบนของผับมีห้องใต้หลังคาห้องนึง ที่เคยเกิดเพลิงใหม้จนมีหญิงชราสำลักควันเสียชีวิตข้างใน ที่เห็นต้องเปิดหนัาต่างตลอดเวลาอย่างนั้น เพราะมีเรื่องเล่าว่า ถ้าวันไหนเผลอปิดหน้าต่าง วิญญานที่อยู่ข้างในจะร้องโหยหวนหลอกหลอนคนแถวนั้น เพราะหายใจไม่ออก!!!

ตอนที่ไปถึง มีลูกค้าแค่พวกเราโต๊ะเดียว อากาศกำลังดี ก็เลยนั่งชมบรรยากาศด้านนอกกัน แอบมองหน้าต่างผีสิงด้านบนข้างหลังเรา อย่างหวั่นๆ ><

พวกเรามาถึงในช่วงเช้า ก็เลยลองสั่ง Full English Breakfast ของที่นี่รองท้องกันก่อน พอเอามาเสิร์ฟ ว้าวววว น่ากินมากกก มีทุกอย่างครบตามสไตล์ English breakfast และเป็น Breakfast ที่น่ากินสุดตั้งแต่มาอยู่ที่อังกฤษเลยทีเดียว (จริงๆนะ) 😅 โดยเฉพาะ Black Pudding (ใส้กรอกที่ทำจากเลือดสัตว์ มีสีดำ) ที่เราไม่ค่อยได้เจอ 😋

เราจะพบเจอนาฬิกาแดด ทั่วทั้งเมือง Cambridge

เดินกันมาเรื่อยๆ ก็เจอ King's College เป็นหนึ่งใน College ที่มีชื่อเสียงของ Cambridge



ด้านหน้า King's College Chapel

และกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดในการมาเที่ยวเมืองนี้ก็คือ Punting Tour ก็คือการล่องเรือชมวิวเมือง โดยจะมีนักศึกษาของที่นี่เป็นคนพายเรือให้ พวกเราหาข้อมูลกันก่อนมาแล้วว่า ให้ต่อราคาลงอีกจากที่เขาเสนอมา...ผู้ชายใส่หมวกในรูปนั่นแหละ 

วิธีพายแบบ Punting ก็คือ การใช้ไม้ Pole ยาวๆ เสียบลงไปในแม่น้ำ แล้วดันเรือไปเรื่อยๆในทิศทางที่ต้องการเมื่อลงเรือกันมาแล้ว...จุดแรกเป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Cambridge คือสะพานคณิตศาสตร์ (Mathematics Bridge) ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคม มีเรื่องเล่าว่า ท่านเซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้ออกแบบสะพานนี้โดยไม่ใช้ตะปูสักดอก แต่ต่อมามีนักวิทยาศาสตร์อยากรู้ว่าออกแบบอย่างไร จึงถอดชิ้นส่วนสะพานออกมาศึกษาแล้วปรากฏว่าประกอบกลับคืนสู่สภาพเดิมไม่ได้ จึงต้องใช้ตะปูตอกกลับให้เป็นสะพานเหมือนเดิม...ถึงว่า สะพานเต็มไปด้วยน๊อต!! 

จุดต่อมาก็คือ สะพาน Bridge of Sighs สร้างเมื่อปี 1831 เพื่อข้ามแม่น้ำแคม ระหว่างตึกเก่าและตึกใหม่ ซึ่ง Bridge of Sighs ที่ชื่อเดียวกันและมีลักษณะเหมือนกันมี 3 ที่ในโลกคือที่ Venice , Cambridge และ Oxford 

จบจาก Punting Tour ทางน้ำล่ะ เราก็มาต่อ Sightseeing Tour ทางบกต่อ ส่วนตัวคิดว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวแต่ล่ะเมืองภายในวันเดียว รถบัสชั้นบนเป็นแบบ open air ด้านข้างที่นั่งของเราจะมีช่องเสียบหูฟัง เป็นไกด์อธิบายแต่ละสถานที่ในเมือง สามารถลงรถเดินเล่นได้ในจุดที่จอด แล้วรอขึ้นคันถัดไปได้ค่ะ

บนรถ Sightseeing Tour ก็ไม่มีคนค่ะวันนี้...มันเป็นวันของเราจริงๆ 😂 นอกจากจะพาเที่ยวแต่ล่ะจุดในตัวเมืองแล้ว ยังพาออกไปชานเมืองที่เป็นสุสาน College และโบสถ์อื่นๆอีกมากมาย คุ้มมากๆ 😒

จบ Sightseeing Tour ล่ะ เราก็เดินมารอขึ้นรถที่เดิมกันค่ะ 

นั่งผึ่งแดดรอเวลาขึ้นรถโค้ช National Express คันสีขาวๆ โน่นหล่ะ กลับลอนดอนกันค่ะ...จบ One day trip แบบชิวๆที่ Cambridge เพียงเท่านี้ค่ะ 😁

Ps. มีสิ่งที่พลาด คือตามหาต้นแอ๊ปเปิ้ลที่เซอร์ไอแซก นิวตัน ค้นพบกฏแรงโน้มถ่วง ที่อยู่ใน Trinity College ไม่เจอ T_T